2554-10-06

Korea Drama 2011 : Best love /The greatest love

Best Love : ละครโรแมนติกฮา ๆ ที่ทำให้หัวใจยิ้มได้ มีมุมเล็ก ๆ ที่ประทับใจสำหรับเรื่องนี้ค่ะ ...



 ติ๊งต่อง !!!! เสียงหวานของหัวใจ

: คำพูดมากมายที่อยู่ในหัวใจ บางครั้งก็พูดสื่อสารออกมาได้ไม่ทั้งหมด

ติ๊งต่อง !!! คำสั้น ๆ ง่าย ๆ  แต่ความหมายมากมายสำหรับคนทั้งสองคน
หรือบางครั้งการที่จะพูดตรง ๆ แต่ด้วยฟอร์มจัดก็เลยต้องเลี่ยง ๆ ไปบ้าง

แต่ความหมายที่อยู่ในคำนี้ก็คือ ใช่ ตกลง ถูกต้อง และ " รัก "
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำนี้หวานมากเลยค่ะ


 60-90 รหัสรัก ระยะปลอดภัย

: 60 - 90 ช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่ปลอดภัยของพระเอกเรา แต่ก็เป็นรหัสการเข้าถึง
ที่ไม่มีใครรู้แต่นางเอกของเรารู้ได้โดยไม่ต้องบอก และเธอก็เข้าไปในพื้นที่แห่งความรักของเขา

โดยที่เขาและเธอก็ไม่ได้ตั้งตัว ขอบเขตที่ป้องกันถูกทำลาย พื้นที่ของหัวใจถูกบุกรุก
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าการเข้ามาครั้งนี้ของเธอจะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป

หลังจากรหัสถูกเปิดโดยผู้บุกรุก รหัสนี้ก็เป็นรหัสแห่งความรักที่ผูกพันคนสองคนไปด้วยเลย ...


 สนามแม่เหล็ก ขั้วบวกและขั้วลบ

: ความแตกต่างของคนสองคน เหมือนกับเป็นขั้วบวกและขั้วลบ

ที่ขั้วต่างกัน ... มีแรงดึงดูดให้เข้าหากัน


 มันฝรั่ง บ่มเพาะความรัก

: กว่าต้นไม้ของความรักจะเบ่งบาน ชูก้านช่อดอกใบ
ก็ต้องใช้เวลาในการดูแลเอาใจใส่ พัฒนาการของการเปลี่ยนแปลง
เหมือนกันความรักของคนที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา

โดยส่วนตัวคิดว่า มันฝรั่ง เปรียบเสมือนนางเอกค่ะ
เป็นต้นไม้ที่ดูธรรมดา แต่ก็เป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าในตัวเอง

ส่วนพระเอกของเราก็เป็นคนเพียงไม่กี่คน ที่จะเอามันฝรั่ง
มาปลูกให้แก้วเจียระไนอย่างดี พร้อมกับดูแลเอาใจใส่

ซึ่งระยะเวลาที่มันฝรั่งเปลี่ยนแปลงไป ก็เหมือนกับใจของพระเอกที่เปลี่ยนไปด้วย ...


 เติม...พลังรัก

: พลังชีวิตของคนเรา บางครั้งก็อ่อนแรงไปบ้าง การได้เติมพลังชีวิต

เหมือนกับที่พระเอกของเราทำนั้น เป็นการเพิ่มพลังรัก พลังชีวิต และพลังใจ ให้ต่อสู้ต่อไปได้

ทุกครั้งที่พระเอกของเราเติมพลัง ... น่ารักที่สุดเลยค่ะ ^^


 ดอกไม้ในหัวใจเธอ

: ดอกไม้สารพัดชนิดที่ ต๊กโกจิน เอามาปลูกไว้ในหัวใจของนางเอก
แต่ละดอกค่อย ๆ บานในหัวใจ จนไม่มีที่ว่างเหลือเผื่อให้ใครได้อีกเลย

ดอกไม้แต่ละชนิดที่เลือกสรรมาปลูกไว้ในหัวใจของนางเอก เขาคิดและตั้งใจ
บวกกับความบริสุทธิ์ของหัวใจเขา ที่ทำให้ดอกไม้เหล่านั้นบานเต็มหัวใจเธอ ...


 ยอดมนุษย์สุดที่รัก
หลังจากผ่าตัดหัวใจใหม่กลับมาแล้วบอกว่า .. upgrade ตัวเองน่ะ ..ตลกเว่อร์อ่ะ
: ต๊กโกจิน ความที่เขาเป็นนักแสดงใหญ่
มีความใฝ่ฝันที่จะไปแสดงเป็นยอดมนุษย์ที่ฮอลลีวู๊ด 

แม้เขาจะไม่ได้ไป แต่สิ่งที่เขาทำให้กับนางเอก ก็เป็นสิ่งที่
ยอดมนุษย์คนหนึ่งจะทำเพื่อความรักของตัวเองได้

เป็นพ่อบุญทุ่ม เป็นผู้พิทักษ์ป้องกันภัย เป็นผู้สร้างโอกาส
และเป็นผู้รักเธอหมดทั้งหัวใจ ...



กูเอจอง มันฝรั่งที่เธอเอามาให้ฉัน มันโตขนาดนี้แล้วนะ

ว่ากันว่า หน่อมันฝรั่งมีพิษ แต่ฉันก็เลี้ยงมัน เผื่อว่ามันจะออกดอก

เพราะฉันอาการไม่ดี เลยไล่ตามเธอไม่ไหว

ดังนั้น ถึงตาเธอมาหาฉันบ้างแล้วนะ

ฉันจะได้ไม่หยุด และเดินหน้าต่อไปได้

ช่วยมาชาร์จแบตให้ฉันที

เพิ่งดูจบค่ะเรื่องนี้ น่ารักมากกก
เคยดูผลงานของพระเอกคนนี้มาก่อนเลยแต่ไม่คิดว่าเค้าจะเล่นบทน่ารักแบบนี้ แล้วออกมาดูดีขนาดนี้ เพราะโดยหน้าตาแล้ว...อย่างเหี้ยมอ่ะ..

พอดูแล้วติดแบบไปไหนไม่ได้หลายวัน ฮาตั้งแต่แผ่นแรกยันแผ่นจบ พระเอกคนนี้สุดยอดมาก หน้าตาป๋าแกเวลาทำท่าเวอร์ ๆ บ้า ๆ หลงตัวเองได้ใจมาก  เวลาเศร้าก็น่าสงสารค่ะ

ชอบฉากชาร์จพลังที่พระเอกจูบนางเอกที่โผล่จากหน้าต่างรถ
ชอบฉาก ติ๊งต่อง หลานนางเอก น่ารักมากกกก.กกกเป็นพวกต๊กไลน์อย่างออกหน้าออกตา
ชอบฉากที่คิดถึงนางเอกแล้วต้องห้ามใจให้ได้ 300 ครั้ง
ชอบคำแปลว่า "เพราะฉันชำรุด จึงไล่ตามจับเธอไม่ไหว" มีความหมายมากมาย
ชอบฉากที่พระเอกกลับมาแล้วผูกโบว์ตัวเองเป็นของขวัญเซอร์ไพส์นางเอก ..อย่างฮา
ชอบอีกมากมาย...

สนุกมากเรื่องนี้ ชอบ ๆ














2554-09-06

Korea Drama: Midas 2011

a471415329778

วันก่อนได้ดูเรื่อง ไมดัส: Midas สนุกดีในแง่ของการเชือดเฉือนอารมณ์และความคิด
เรื่องนี้เต็มไปด้วยเรื่องของเงินล้วน ๆ เงินสามารถบงการได้ทุกอย่าง ซื้อได้แม้แต่ความเป็นพี่น้องและมิตรภาพ แต่เงินซื้อชีวิตไม่ได้ นี่แหละประเด็นของเรื่องเรย

Midas : ไม่ใช่ให้แต่ความสนุกสนาน แต่เป็นความมันส์อย่างไม่มีขีดจำกัดทางด้านการเอาชนะกันในเรื่องของเงิน แง่คิด แวดวงทางเศรษฐกิจการเงินการลงทุน ในชั้นของการบริหารบริษัทใหญ่โต รวมทั้งในเกมส์ของความรักและมิตรภาพระหว่างคู่แข่งขันกันเอง..

เรื่องนี้ขอบอกได้เลยว่า พระเอกเราหล่อมาก แถมเล่นได้ดีมั๊กมาก ๆ กระแทกใจสุด ๆ สุขุม นุ่ม ลึก และเลือดเย็นสุดขั้ว คงมีแต่แววตาเท่านั้นที่สะท้อนให้เห็นบางอารมณ์ที่แฝงอยู่ แต่พอตอนร้องไห้แล้วกระชากใจสุด ๆ น่าสงสารที่ชีวิตถูกใช้ให้เป็นแค่บันไดผ่านทาง ดูแล้วตอนแรกแทบจะเกลียดพระเอกไปเรย(อินไปป่าวเนี่ย? อิอิ) แต่หลัง ๆ เริ่มรู้สึกสงสารและหลงรัก..ซะงั้น..

พระรองก็หล่อลากดินซะ... แต่มีชีวิตที่น่าสงสารที่สุด โดยเฉพาะตอนอาการกำเริบน่ะ ดูแล้วเนียนมาก เหมือนคนป่วยจิง ๆ เรย ที่เสียดายสุด ๆ ก็ตรงที่บทน้อยไปหน่อยหรือเปล่า...(ความเห็นส่วนตัวจร้า)

นางเอก น่ารักได้อีก สวย ใส แต่ไม่ไร้สมอง มีความฉลาดอยู่ในคำพูดและเป็นตัวละครที่อยู่ข้างพระเอกตลอดแม้แต่ตอนที่พระเอกร้ายหรือตกอับ แม้จะมีคนที่ดีกว่าอย่างพระรองเข้ามีในชีวิตและมีสิทธิ์ที่จะเลือก แต่เธอก็ยังคงรักพระเอกเรา..น่ารักสุด ๆ

อีกคนที่น่ายกย่องในการแสดงสมบทบาท นั้นคือตัวเดินเรื่องอย่างยูอินเฮ ถ้าไม่มีเธอคนนี้ เรื่องก็คงไม่เข้มข้น

ส่วนเพื่อนพระเอก 2 คน ที่เป็นผู้ช่วยน่ะ ชอบมาก เพราะแม้ว่าพระเอกอยู่ในสภาพใหน ก็ยังอยู่กะพระเอกจนจบและเต็มใจช่วยเหลือทุกเรื่อง แม้ว่าเป็นเรื่องที่อันตรายขนาดเอาชีวิตเข้าแลกก็ไม่กลัว...น่านับถือมาก..

2554-06-18

Korea Drama : Paradise Ranch 2011





หวัดดีจร้า ทุกคน วันนี้มีเรื่องดี ดี มาแนะนำกันอีกแร้ววว++
"Paradise ranch" 

เรื่องนี้เอาความรักและหน้าที่การงานมาปะปนกันอย่างลงตัว แถมบรรยากาศก็ดีมั๊ก มาก โดยเฉพาะฟาร์มนางเอก น่าอยู่มาก คนเราถ้าได้สัมผัสกับธรรมชาติทุกวันแบบนั้น คงมีชีวิตที่ดีมีความสุข สดใส และยืนยาวแน่นอน..

ความรักไม่ได้สิ้นสุดลงที่การแต่งงาน แต่การแต่งงานคือจุดเริ่มต้นของความรักต่างหาก การแต่งงานอาจจะทำได้ง่าย แต่การรักษาชีวิตหลังแต่งงานให้ตลอดลอดฝั่งกลับยากยิ่งกว่า... การเข้าใจกัน การเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เรียนรู้ที่จะเสียสละและให้อภัยซึ่งกันและกัน ทำให้ความรักยืนยาว 

เหมือนพระนางในเรื่องนี้ เพราะว่าทั้งคู่แต่งงานกันเพราะความดื้อรั้นไม่ฟังคำคัดค้านจากผู้ใหญ่ เลยทำให้ชีวิตคู่ต้องจบลงในเวลาแค่ 6 เดือน แม้ว่าทั้งคู่จะเลิกลากันไปแต่เมื่อกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าจริง ๆ แล้วต่างคนก็ต่างยังไม่ลืมกัน 

แม้ว่าจะมีพระรอง(หล่อมาก ยิ้มคลายกะซงซึงฮอนเรย 55) เข้ามาในชีวิตนางเอกช่วงหนึ่ง แต่เพราะชีวิตคู่ของเขาก็ไม่ราบรื่นนัก แม้จะรักนางเอกแต่เมื่ออดีตภรรยาไม่มีใคร เค้าก็อดที่จะสงสารและกลับไปดูแลไม่ได้ (น่ารักสำหรับภรรยา แต่แอบใจดำกะนางเอก) ในขณะที่พระเอกก็มีคนดูใจอยู่ และเธอไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างพระเอกและนางเอก แต่พอรู้เธอก็ยังให้เวลาพระเอกเคลียร์เรื่องต่าง ๆ เอง (น่านับถือ) และสุดท้ายเธอก็รู้ว่าไม่สามารถที่จะครอบครองคนที่ไม่มีหัวใจให้เธอได้อีกต่อไป แม้พ่อเธอจะยินยอมให้แต่งงานกัน เธอทำไม่ได้ที่พ่อของเธอใช้อำนาจและเงินในการครอบงำกิจการของพระเอก เธอจึงจำใจต้องปล่อยเขาไป (น่าสงสาร) 

สุดท้ายทั้งพระเอกและนางเอกก็กลับมาคบกันอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้ใหญ่อีกเช่นเคย เพราะกลัวความผิดพลาดในอดีตจะเกิดขึ้นอีกครั้ง แล้วทั้งคู่จะทำยังไง...ติดตามได้ในซีรีย์ทีทำให้คุณต้องหัวเราะ ยิ้ม ไปกับความน่ารักของทุกคน และแอบเสียน้ำตาไปกับพวกเขาใน...paradise ranch..

2554-06-08

Korea Drama: 49Days 2011


อันยองจร้า...วันนี้มาแนะนำซีรีย์กันอีกเช่นเคย
วันนี้ขอเสนอเรื่อง "49Days" ที่เพิ่งดูจบไปหมาด ๆ บอกได้คำเดียวเลยว่าสุดยอด

เรื่องนี้คงเหมาะกับใครที่ชอบซีรีย์แนวรักโรแมนติก ซึม เศร้า เคล้าน้ำตา ปะปนไปด้วยเสียงหัวเราะและข้อคิดดี ๆ ที่นักเขียนบทได้สอดแทรกไว้ในเรื่องได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นคาแร๊คเตอร์ของตัวละครแต่ละตัว นักแสดง ฉาก เสื้อผ้าหน้าผม ต้องขอบอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะซีนอารมณ์หลาย ๆ ตอน สามารถกระทุ้งต่อมน้ำตาให้ทำงานได้เป็นอย่างดี 555..

เนื้อเรื่องจะใช้ความเป็นแฟนตาซีเข้ามาปรุงแต่ง แต่ใจความของเรื่องจะเสนอถึงคุณค่าแห่งชีวิต ทั้งในเรื่องของความรักระหว่างครอบครัว เพื่อนฝูง และคนใกล้ตัว การเสียสละ การให้อภัย การมีสติ การกล้าในการเผชิญหน้ากับปัญหาเมื่อถึงเวลา และความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องย่อ ..
จีฮยอนเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยฐานะและความสุข เธอประสบอุบัติเหตุก่อนวันแต่งงานเพียง 1 อาทิตย์และกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แต่เพราะว่าดวงวิญญาณเธอยังไม่ถึงฆาต และเธอก็พบกับยมทูต เอ้ย...ผู้กำหนดชะตา เขาบอกว่าหากต้องการฟื้นและกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง เธอจะต้องหาคนที่รักเธอจริง ๆ และหลั่งน้ำตาให้เธอ 3 หยด ภายในระยะเวลา 49 วัน โดยไม่นับพ่อแม่และพี่น้อง..

และระหว่างการเสาะหาคนที่รักเธอจริง จีฮยอนจะต้องยืมร่างของยีคยอง สาวที่ทำงานร้านสะดวกซื้อผู้มีชีวิตล่องลอยไร้ชีวิตจิตใจ เนื่องจากเธอทำใจไม่ได้ที่คนรักของเธอเสียชีวิต

จีฮยอนอยู่ในร่างของยีคยองได้เฉพาะเวลาที่เธอหลับเท่านั้น จีฮยอนเชื่อว่าเธอจะต้องกลับไปมีชีวิตอีกครั้งเพราะรอบกายเธอมีแต่คนที่รักเธอ แต่แล้วเธอก็รู้ความจริงว่าที่แท้แล้วมินโฮคู่หมั้นของเธอและอินจองเพื่อนสนิทของเธอมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันก่อนที่มินโฮจะรู้จักเธอเสียอีก และทั้งคู่กำลังสมคบคิดกันฮุบเอาบริษัทของพ่อเธอและทุกอย่างที่เป็นของเธอไป จีฮยอนรู้สึกเสียใจมากแต่เธอก็ต้องมีชีวิตกลับไปขัดขวางพวกเขา ด้วยการเข้ามาทำงานที่ร้านอาหารของฮันคัง เพื่อนสมัยเรียนของเธอ ภายหลังฮันคังรู้ว่าจีฮยอนอยู่ในร่างของยีคยอง และเธอได้รับหยดน้ำตาแห่งความจริงใจหยดแรกจากเขาในวันนั้นเอง เขาช่วยเหลือจีฮยอนทุกอย่างเพื่อหวังให้เธอฟี้นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทรา

ความลับทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลง มินโฮถูกสอบสวนในคดีฉ้อโกง พ่อของจีฮยอนยอมผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองออกตามคำขอของฮันคังที่พูดตามที่จีฮยอนได้เขียนไว้ ส่วนอินจองก็กลับไปอยู่บ้านเกิดกับพ่อแม่ ฮันคังบินไปนอกเพื่อขอความช่วยเหลือจากพ่อของเขาระดมเงินทุนมาช่วยบริษัทพ่อของจีฮยอนไว้ได้

จีฮยอนเห็นทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี เธอจึงคิดจากไปอย่างสงบเพราะ 49 วันของเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ในวันเดียวกันนั้นเอง เธอกลับได้น้ำตาครบ 3 หยดทำให้เธอฟื้นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทราได้

เรื่องน่าจะลงเอยด้วยดี แต่กลับเป็นว่า จีฮยอนคือคนสุดท้ายที่ผู้กำหนดชะตาต้องเอาดวงวิญญาณไปส่ง เพื่อที่ภาระกิจของเขาจะได้สิ้นสุดลง .... โอ้ย...ไปดูเองดีกว่า..เศร้า++

เรื่องนี้จบแบบไม่มีใครคู่ใคร แต่เดาถูกอยู่อย่างเดียว ว่าผู้กำหนดชะตาจะต้องเป็นคนรักของยีคยองแน่เลย และก็ใช่...นอกนั้นพลิกล็อคหมด ดูเรื่องนี้อย่าคิดว่าเรื่องจะเป็นไปตามที่คุณคิดนะ เพราะมันไม่ใช่...
นักเขียนบทเก่งมาก ขอชมแนบเนียน เก็บรายละเอียดได้ดี แต่ไม่น่าให้ยีคยองเป็นพี่สาวที่หายไปของจีฮยอนเลย คิดว่าไม่โอนะ..

"ถึงแม้ชะตาของมนุษย์จะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ก็อาจมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้"

2554-06-07

Korea Drama : Athena Goddess of War 2010



อันยอง..จ้า

วันนี้มาแนะนำซีรีย์ดี ดี กันอีกเช่นเคย
ใครได้ดูแล้วบ้าง กับซีรีย์เรื่อง "Athena goddess of war"

เรื่องนี้ออกแนวแอ๊คชั่น มันส์ ได้เลือดกันทั่วหน้า ไม่แจกผ้าเช็ดหน้าแต่แจกกระสุน
โห..ยิงกันดุเดือดเลือดพล่าน พระเอกตอนแรกออกแนวเหมือนมือสมัครเล่น ไป ๆ มา ๆ ไหงกลายเป็นมืออาชีพอย่างเท่ห์อ่ะ... ตอนแรกวิ่งไล่คนร้ายกันอุดตะลุด พอกลางเรื่องเริ่มเข้มขึ้น พอท้าย ๆ เรื่องไล่คนร้ายก้อใส่สูืทซะงั้น(คงให้ดูสมกับเป็นมืออาชีพ ว่างั้น) 

นางเอกตอนแรกที่พระเอกตามจีบซึ่ง ๆ หน้าคิดว่าเป็นคนไม่มีหัวใจซะแล้ว เพราะเป็นถึงมือขวาของขบวนการผู้ก่อการร้าย แต่สรุปก้อแพ้ความเสียสละของพระเอก ตอนหลังกลับใจมาเป็นคนดีที่น่าให้อภัยซะได้...แต่มีชีวิตและความเป็นมาน่าเศร้า รันทดได้อีก ...

หัวหน้าขบวนการก่อการร้ายก็ใช่ย่อย เท่ห์อ่ะ แต่หน้าเหี้ยมมาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของคำว่ารักได้..สุดยอด ตอนแรกที่ดูคนอะไรจะโหดได้ขนาดนั้น แต่แอบสงสารตอนจบ...(น้ำตาไหลซะงั้น..)

แฟนเก่าพระเอก ไม่น่าตายเรย .. น่าสงสาร ออกแนวสวยเข้ม และเท่ห์ไปในตัว เด็ดเดี่ยวกล้าได้กล้าเสีย ตอนหลังมาเสียความมั่นใจนิดหน่อย แต่เธอก็เสียสละตัวเองเพื่อขัดขวางการก่อการร้ายได้สำเร็จ..

เรื่องนี้คงถูกใจใครหลายคนที่ชอบหนังแอ๊คชั่น มันส์ ๆ ดำเนินเรื่องช้า ๆ แต่ค่อย ๆ เข้มข้น ทุกฉากทุกตอนต้องคอยลุ้นตลอดว่าตัวร้ายจะทำไ้ดสำเร็จหรือเปล่า แถมมีกลิ่นอายของความเป็นดราม่าโรแมนติกเข้าไปผสมผสาน ทำให้ดูกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น...ไม่ควรพลาดทีเดียวกับซีรีย์เรื่องนี้ แนะคำคร่า....

2554-06-02

Lee Seung Gi มาเป็นแขกรับเชิญในละครเรื่อง The Greatest Love


 

Lee Seung Gi มาเป็นแขกรับเชิญในละครเรื่อง The Greatest Loveนักร้อง นักแสดงหนุ่ม Lee Seung Gi ไปเป็นแขกรับเชิญพิเศษในละครฮิตของสถานี MBC เรื่อง "The Greatest Love" ที่ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา...

MBC ออกมาแถลงข่าวว่า Lee Seung Gi จะมาเป็นแขกรับเชิญในละคร "The Greatest Love" ผลงานของสองพี่น้อง Hong สองนักเขียนชื่อดัง Hong Jung Eun และ Hong Mi Ran ซึ่งก่อนหน้านี้เอง Lee Seung Gi ก็เคยร่วมงานกับสองพี่น้อง Hong มาก่อนอยู่แล้วในละครเรื่อง My girlfriend is a nine-tailed fox

ตอนนี้ "The Greatest Love" รั้งอันดับ 1 เรตติ้งละครที่ออกอากาศในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ บอกเล่าเรื่องราวความรัก ความริษยา และเรื่องโรแมนติกระหว่างนักแสดงชื่อดัง Dok Go Jin รับบทโดย Cha Seung Won และอดีตไอดอลสาว Goo Ae Jung ที่รับบทโดย Gong Hyo Jin รวมไปถึงคุณหมอ Yoon Pil Joo รับบทโดย Yoon Kye Sung และนักร้องสาว Kang se Ri ที่รับบทโดย Yoo In Na

เขียนและเรียบเรียง: www.kpopza.com - นำข่าวเราไปกรุณาอย่าตัดหรือเปลี่ยนแปลงบรรทัดนี้
เครดิต: Allkpop (http://www.allkpop.com/)


2554-05-26

บทความ อาถรรพณ์ลึกลับ กับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

http://atcloud.com/stories/18688

นี่คือเหตุการณ์ประหลาดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงๆ บนพิภพของเรานี้ ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปิศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle)...ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป...ก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากเป็นส่วนมาก เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้าไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออกไปจนถึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิกันโน้น .. ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร ....มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Triangle) ...อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราวๆ ปี ค.ศ.1960 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา แต่ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวนั้นมักจะปรากฏแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บ่อยๆ ครั้ง และเป็นประจำจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตรายของการหายสาบสูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา...จากบันทึกของกองเรือยามฝั่งสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน มีสถิติความสูญหายอย่างผิดปกติ ในอาณาบริเวณนี้เป็นบริเวณต้องห้ามและเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ มันอาถรรพณ์อย่างไร? สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาดอาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องอันพิลึกกึกกือที่เป็นข่าวระบือลือลั่นกันไม่รู้จบระหว่างคนในละแวกนั้น เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับเป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ... สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่อง โซนาร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา...นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่ายประกันไปจนบริษัทแทบล้มละลาย นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง...อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คนหายไปไหนใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่ามันเป็นอาถรรพณ์ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องทั้งหมด 14 นาย ได้ออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์...และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา ..นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย อกตามหา ...20 นาทีต่อมา .... PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อกับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกันไม่มีเหลือแม้แต่เงา มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณเบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอนเป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้ ..สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า...แถบเบอร์มิวด้าต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ ...เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย ดินแดนอาถรรพณ์มีอยู่แห่งเดียวรึ? เปล่าเลยครับ...เบอร์มิวด้าไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียวบนโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป็นดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลงจนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้นพร้อมเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจเพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น ...สองสามวันต่อมาเมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือไม่มีอะไรทั้งนั้น..หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล...แต่ไม่พบแม้แต่เงา มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์ เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการหายสาบสูญอย่างไร้เงาของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น...พวกที่หายสาบสูญไปแล้วย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมาบอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิญกับอะไรมา แต่..เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถนำมาปะติดปะต่อกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดตายหรือหลบหลีกได้ จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับพวกที่หายสาบสูญไป...มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยรู้จักกันมาก่อน ....อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาปะติดปะต่อกันดูแล้วก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด มันไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงงสนเท่ห์ใจให้มากยิ่งขึ้นเพราะมันยังคงเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับจริงๆ เราอาจจะสรุปคำตอบได้เป็นข้อตามความเป็นไปได้ ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และโดยสามัญสำนึก ซึ่งจะช่วยให้เราแจกแจงได้ว่าคำตอบใดจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาสามเหลี่ยมมรณะแต่ในลำดับแรกเราจะเริ่มด้วยการประมวลเหตุการณ์ว่า "มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์" เสียก่อนเพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีธรรมชาติ พฤติการณ์คุณลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่....
1)รายงานที่พบเป็นประจำ เริ่มแรกผู้ประสบเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำล่อง ตัวอย่างรายงานทำนองนี้ได้แก่รายงานทางวิทยุครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญไป ของนักบิน นาวีร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า..."เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน..." ...จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขาก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นรายงานที่ได้มาจาก ร้อยเอกเดนตาย อูลเมอร์ (Robert Ulmer) นักบินมือสองและด๊อกเตอร์ดิ๊กบาย (Dr. Robert Digby) ผู้โดยสานเดนตายคนเดียวที่รอดมาได้ จากเที่ยวบินพิเศษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่อบินทิ้งระเบิดแบบ บี-24 .."ขณะบินอยู่ในระดับสูง 9,000 ฟุต ทางเหนือของเบอร์มิวด้าอากาศแจ่มใสมาก ...จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นยังกับจ้าวเข้าทรง เครื่องวัดต่างๆ หมุนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย และแล้วเครื่องบินก็เริ่มปักหัวลงทะเล กัปตันพยายามดึงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ...เราต่อสู้กับอำนาจลึกลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลงทะเลตลอดเวลา เราดึงเครื่องขึ้น เครื่องบินเอียง เซไปมา และจะดำดิ่งลงท่าเดียว เราก็ดึงมันขึ้นอีก ต่อสู้กันจนเราแทบหมดแรง...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผีบ้าซาตานอะไรมาเข้าสิงเครื่องบิน บินแบบถูลู่ถูกัง มาจนถึงฝั่งเม็กซิกโก และตกบนภูเขาเหนืออ่างเปอร์โตริโก เป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ที่ขับเขี้ยวมากับอำนาจเร้นลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลง ...ดร.ดิ๊กบายเล่าว่า.."ผมเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่รอดมาได้ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่ามีบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า...แต่อย่างไรก็ตามผมก็เจอมาแล้วกับตัวเอง มันมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเครื่องบินของเราลงไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่อำนาจลี้ลับนั้นมีอยู่แน่ๆ ที่บริเวณสามเหลี่ยมมรณะนั้น"... สรุปแล้ว ข้อมูลประการที่หนึ่งที่เราพบก็คือ มีพลังบางอย่างที่มีผลกระทบกับเครื่องมือนำทาง เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร นั่นคืออำนาจลึกลับนี้มีผลกระทบกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก

2)เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทความรู้สึกในการรับรู้ทั้ง 5 ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์ ทำให้ผู้นั้นงุนงง สับสนต่อเหตุการณ์ และที่สุดคือสูญเสียความรู้สึกในเรื่องเวลา และการทรงตัว ดังตัวอย่างรายงานอดีตผู้บังคับการฝูงบินทิ้งระเบิด บิลล์สัน (Commander Marcus Billson) เมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1945 ขณะทำการบินด้วยเครื่องบิน PBM (เครื่องบินน้ำ แบบสองเครื่องยนต์) และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเล่าว่า... "ผมกำลังบินในตอนกลางคืน อยู่ระหว่างครึ่งทาง จากฟลอริด้า ไปเกาะบาฮาม่า...ในขณะนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าวิทยุเข็มทิศ (radio compass) ก็เริ่มหมุนติ้วยังกับกังหันต้องลม และเข็มทิศแม่เหล็กก็เอากับเขาด้วย วิทยุติดต่อก็เกิดเสียงรบกวนซู่ซ่าจนใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา แล้วต่อมาไฟฟ้าในห้องนักบินก็ดับพลึบลง ทีนี้มันก็มืดสนิทมองไม่เห็นอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแสงดาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความมืดสนิท...ผมไม่เข้าใจว่าแสงดาวบนท้องฟ้ามันดับหายไปไหนหมด แสงระยิบระยับบนท้องทะเลก็ควรจะมองเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งแต่นี่มันมืดมิดจริงๆ ...ผมนึกว่าผมคงตาบอดแน่ๆ ...ผมไม่รู้ว่าเราบินไปทางไหนเอาหัวขึ้น หรือเอาหัวลงก็บอกไม่ได้ ผมมีประสบการณ์การบินมามากกว่า 5,000 ชั่วโมง หลับตาบินผมก็รู้ว่าผมบินได้...แต่นี่มันต่างกัน ผมสูญเสียความรู้สึกไปหมดผมเหมือนคนตาบอดสนิท..ผมถือคันบังคับเครื่องบินแน่น พยายามเลี้ยง ประคองเอาไว้ให้ตรงที่สุดเท่าที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะมีอยู่ในเวลานั้น ..ต่อมาทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ไฟฟ้าสว่างขึ้นเอง เข็มวัดทุกอย่างทำงานเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...และผมก็งงไปหมด เครื่องได้มาบินอยู่เหนือสนามบินบาฮาม่าแล้ว... ผมงงจริงๆงงจนไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายว่าอย่างไรถูก..เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจะให้ผมอธิบายว่าอย่างไร ผมก็จนปัญญา"...
3)มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุจะถูกตัดขาดนี่คือข้อมูลอีกข้อหนึ่งที่เราจะพบเสมอจากรายงานครั้งสุดท้ายของผู้ที่หายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพณ์ ดังตัวอย่างการหายสายสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของนาวีสหรัฐอเมริกา ...หายทั้งฝูงเลยนะครับ..ไม่ใช่ลำเดียว..ฝูงบินที่ 19 มีเครื่องบินแบบ TBM อเว็งเจอร์ จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา...รายงานสุดท้ายที่จ่าฝูงร้อยเอก โรเบิร์ต คอส รายงานมา รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่งกล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. "อย่าตามผมมา.. แยกกันออกไป แยกกันออกไป.." แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ...ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตามเข้าไป...แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไปในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง

ปรากฏการณ์ "หมอกเรืองแสงสีขาว" ....นี่ คือข้อมูลที่ได้รับจากวิทยุติดต่อกันระหว่างฝูงบินที่ 19... เสียงจ่าฝูงดังมาแล้วได้ยินชัดว่า "สงสัยว่าเราหลงทางทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด...เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด..มองไม่เห็นท้องฟ้า ..มันขาวโพลนไปหมด..." นี่เราอยู่ที่ไหนกัน..เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว "แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป..ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเรา อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727ลำนั้นกำลังปักหัวลงสู่สนามบิน ....727 ของสายการบิน "National airline บินดำดิ่งลงมา ผ่านเข้าหมู่เมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนพกกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาเครื่อง 727 เพราะว่ากลัวว่าจะตกโหม่งโลกไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..ทั้งนักบินและผู้โดยสารเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กันเมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถกู้ภัย ของสนามบินต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด..ภายหลังจึงทราบว่าอะไรเกิดขึ้น ..เวลาของนักบินและของผู้โดยสาย เที่ยวบินนั้นได้ขาดหายไป 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบินรู้เลยว่าเวลา 10 นาทีนั้นขาดหายไปไหน ..และหายไปได้อย่างไร.. การสอบสวนไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเพิ่มเติม นอกจากจะเพิ่มความงุนงงมากขึ้นเท่านั้น..เวลามันหายไป 10 นาที ตอนที่เครื่อง 727 บินเข้าไปในเมฆก้อนเล็กๆ "มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง..แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย..ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน.. เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ..เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ.."

คำตอบคืออะไร? ความประหลาด ความลึกลับ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในย่านทะเลเบอร์มิวด้า มีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย มันเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ หรือ หรือมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ... คำตอบต่างๆ มีมากมายแต่ข้อไหนล่ะที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ขอให้เรามาดูกันเป็นข้อๆ ดีกว่านะครับ.. 1)การหายสาบสูญสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเกิดจากสาเหตุที่ว่าเรือเหล่านั้นแล่นไปชนเอาทุ่นระเบิดเข้าก็ได้ ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังคงมีหลงเหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย..แนวคิดข้อนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากนะครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดอย่างอื่นๆ อีกหลายๆ กรณีได้เลย เช่นในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเท้งเต้งเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบบริบูรณ์บนเรือ กะลาสีเรือและกัปตันเรือหายตัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างนี้จะอธิบายได้อย่างไรละครับ.. 2)การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที.. นี่ก็เป็นข้อเสนออีกแนวหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว แถบทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็นพายุใหญ่ที่ต้องรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ไม่มีวันที่พายุใหญ่ๆ ขนาดนั้นจะรอดสายตาของนักอุตุนิยมวิทยาไปได้ และอย่างน้อยเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ก็มีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งขาว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้างถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้ 3)"มันเป็นเรื่องความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ"..นี่คือคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝั่งที่เจ็ด ของนาวีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่ายงานของรัฐบาลที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า... "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง ความจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ไหนๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เท่านั้นเปอร์เซ็นต์อุบัติเหตุต่างๆ จึงมีมากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเบอร์มิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ เท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดเรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น.." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้าทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติและหลักสามัญสำนึกธรรมดาๆ แต่มีปัญหาหนึ่งทฤษฎีนี้พยายามปิดบังไม่กล่าวถึงสิ่ง อันทำให้เป็นที่น่าสงสัยนั่นก็คือ การอับปางของเรือ และเครื่องบินทำไมจึงไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย..เรือและเครื่องบินเหล่านั้นอับปางจริงหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่คนหลายร้อยหลายพันคนจะจมหายไปกับเรือ ไม่มีสิ่งของ หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ หลุดออกมาให้เห็นเลย แม้แต่นิดเดียว ..แล้วก็อย่างในกรณีเรือ ไซคล๊อปส์ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918 ..แต่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวลงเท้งแต้เข้าฝั่งมาเกยตื้น โดยมีแต่เรือเปล่าปราศจากผู้คน..ผู้โดยสารจำนวน 309 คนหายไปไหนกันหมด ข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งอาหารและสินค้าบนเรือยังอยู่บริบูรณ์ จะว่าเรือถูกโจรสลัดปล้นก็ไม่ใช่แต่อะไรล่ะได้เกิดขึ้นกับผู้คน 309 ชีวิต เขาหายไปไหน? 4)ทฤษฎีการบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ ...ดร.แซนเดอร์สัน ไอแวน (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents" ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด ...เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปทางเหนือของมหาสมุทรแอรแลนติก ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือ การปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกันของระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไปจากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมากมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกันของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาลหลายพันล้านโวลต์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลตามมา ประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้ การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระทบกระเทือนกับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น..และนี่คือผลกระทบที่ทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศเมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้นในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้ และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ หรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจากร่องรอย..นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบายในกรณีที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกรณีที่เครื่องบินหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา ..ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่องบินนั้นเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันมากนัก ระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกันกับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้ และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาบเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบัน และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย.. เป็นไงครับทฤษฎีของ ดร.แซนเดอร์สัน ฟังเข้าท่าพอเป็นไปได้นะครับ..แต่ใครละจะกล้าพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงความเป็นไปได้ของการบ่ายเบนของมิตินั้นก็เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำนวณกันแต่บนกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าทดลองเพื่อยืนยันให้เป็นจริงกันสักที จึงเป็นอันว่าเราต้องคอยดูกันต่อไปดีกว่า 5)บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งฐานทัพลับใต้สมุทรของชนชาติลึกลับ หรือของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้การหายไปของเรือและเครื่องบิน อาจเกิดจากการจงใจ "ขโมย" เรือหรือเครื่องบินรวมทั้งการลักพาคนไปเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการทดลอง หรือเพื่อการเก็บไปเป็นตัวอย่างดูเล่นก็เป็นได้..แนวความนึกคิดทำนองนี้ อาจมีทางเป็นไปได้อย่างเหมือนกัน ผู้ที่ค้นคว้าศึกษาตามแนวทางนี้โดยเฉพาะจะพบว่า ย่านท้องทะเลแอตแลนติก แถบหมู่เกาะเบอร์มิวด้านี้มีรายงานการปรากฏตัวของ ยูเอฟโอ (UFO) หนาแน่นพอๆ กับที่เห็นบนบกตามจุดสำคัญๆ เหมือนกัน..แต่ปัญหาสำคัญคือ ทฤษฎีนี้ยังไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่พอจะอ้างได้หรือนำมาชี้ทางสนับสนุได้ว่า ยูเอฟโอ มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสูญหายไปของเรือและเครื่องบิน การปรากฏตัวอย่างหนาแน่นของยูเอฟโอในย่านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีฐานทัพเร้นลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร หรือบนเกาะร้างลี้ลับแห่งใดแห่งหนึ่ง และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่มนุษย์ต่างดาวจะต้องมาตั้งป้อมคอยขโมยเรือ และเครื่องบิน ของชาวโลกไปมากมายเพื่อประโยชน์อันใดกัน .. ในกรณีนี้แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นเป็นบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศตามทฤษฎีของ ดร.แซนเดอต์สันมากกว่า และยูเอฟโอที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพ..หรือพูดง่ายๆ ก็คือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอาจเป็นบริเวณที่มีการเปิดปิดประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้.. มันหมายถึงช่องทางที่จะใช้เดินทางผ่านเข้าออกไปสู่ย่าน "ไฮเปอร์สเปซ" นั่นเอง

บทความ 10 บุคคลลึกลับของโลก


อันดับ 10 Monsieur Chouchani
 418Px-Emmanuel Levinas
นาย Chouchani (??-ตาย 1968)เป็นชื่อเล่นของอาจารย์ชาวยิว ที่ไม่มีใครรู้ชื่อจริงและชาติกำเนิดลึกลับ เป็นอาจารย์สอนนักเรียนระดับสูงของยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และลูกศิษย์ที่ได้รับคำสอนจากอาจารย์ท่านนี้ล้วนมีชีวิตและการงานที่ใหญ่โต ในอนาคต ที่ดังๆ ก็เช่น Emmanual Levinas(นักปรัชญา และนักการศึกษา ชาวฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศรัสเซีย นับถือศาสนายิว) และ Elis Wiesel (เอลี วีเซล ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขา สันติภาพ ประจำปี 1986) หากแต่ชีวิตของอาจารย์ท่านนี้ลึกลับอย่างยิ่ง ทางการได้เก็บประวัติอาจารย์ท่านนี้ชนิดเรียกว่าลับสุดยอด ทำให้หลายคนเรียกชื่ออาจารย์คนนี้หลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ “shushani” ซึ่งหมายความว่าคนจาก Shushan(เมือง หนึ่งแถวๆ ทางใต้ของจีน) หรือชื่อจริงจะเป็น Hillel Perlmann

                สิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัวนาย Chouchani คือเขาปรากฏตัวครั้งแรกที่ปารีสในสงครามโลกครั้งที่ 2  เขาเป็นอาจารย์ในช่วง 1947 และปี 1952 มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากนั้นก็มีข่าวของเขาไปตามที่ต่างๆ ปั่นปลายสุดท้ายของเขาเลือกอาศัยอยู่ที่อุรุวัยก่อนเสียชีวิตลงที่ 1968

                แม้ไม่มีใครรู้ชาติกำเนิดของเขาและทำไมทางการถึงได้ปกปิดอย่างลับ สุดยอด แต่นาย Chouchani ได้ทิ้งหลักการมรดกทางปัญญาหลายๆ อย่างแก่ลูกศิษย์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญา ซึ่งส่งผลต่อสาขาวิชาอื่นๆ ในเวลาต่อมา


อันดับ 9 The Poe Toaster
          
เอ็ดการ์ อัลเลน โป(วันที่ 19 ม.ค. 1809 -เสียชีวิต ต.ค. ปี 1849) เป็นนักเขียนสหรัฐฯ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งวรรณกรรมรหัสคดี (Mystery) จากเรื่องสั้น "คดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก" (The Murders in the Rue Morgue) กลายเป็นต้นแบบของนวนิยายนักสืบในเวลาต่อมา ชีวิตปั่นปลายของโปนั้นค่อนข้างลึกลับ แม้กระทั้งตอนเสียชีวิต โป มีอาการเพ้อแปลกๆ ไม่สามารถควบคุมตนเอง  เสื้อที่เขา ใส่ก็ไม่ใช่ของตัวเขาเอง และคืนก่อนเสียชีวิตเขายังเพ้อถึงชื่อ "เรย์โนลด์" ซ้ำ ๆ หลายคนจนเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่า “เรย์โนลด์” ที่เขาเอ่ยถึงคือใครกันแน่?

แต่เรื่องราวความ ลึกลับของโปยังไม่จบ เพราะหลังจากการเสียชีวิตของโป ที่หลุมฝังศพของเขาในบัลติมอร์(สุสานเวสต์มินสเตอร์ที่มุมถนนฟาเย็ตต์ตัดกับ ถนนกรีนนี่ ในบัลติเมอร์ตะวันตก)  ก็เริ่มมีคนลึกลับ สวมชุดดำ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมมีผ้าพันคอปิดปากปิดจมูก สวมหมวกสักหลาด ถือไม้เท้า เดินเข้าไปที่ป้ายหลุมศพของ โป ในทุก ๆ วันครบรอบวันเกิดของเขา และจะดื่มคอนยัคบรั่นดีหนึ่งขวดเพื่อคารวะก่อนจะวางขวดคอนยัคที่เหลือ เครื่องดื่มไว้ครึ่งขวด พร้อมดอกกุหลาบแดง 3 ดอก ไว้หน้าป้ายหลุมศพโดยบางครั้งก็มีการทิ้งโน้ตเอาไว้ด้วย

บุคคลปริศนาผู้นี้ ถูกเรียกว่า 'ผู้ดื่มคารวะแก่โป' (Poe Toaster) เขาไปที่หลุมศพของโปเพื่อทำแบบเดียวกันทุก ๆ ปี ตั้งแต่ปี 1949 จนกระทั่งถึงถึงปี 1993 ไม่มีขาด การมาของเขาจะอยู่ในช่วงช่วงเที่ยงคืนถึงตี 5

ในวันที่ 14 มกราคม 1983 มีการจัดงานชุมนุมแฟนของโปกว่า 70 คน เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบที่ 174 ของโป และพอถึงเวลาตีหนึ่งครึ่งบรรดาคนในงานเหล่านั้นต่างตระหนกตกใจไปตามๆ กัน เมื่อแลเห็นร่างของชายคนหนึ่งพุ่งเลาะไปตามริมรั้วสุสานด้านทิศตะวันออก ชายเสื้อคลุมยาวของเขาปลิวไสว เขามีผมสีทอง ถือไม้เท้าหัวเลี่ยมทองเหมือนโปชอบใช้ และเมื่อเขาจากไปก็พบขวดบรั่นดีและดอกกุหลาบวางอยู่

800Px-Poegrave-Withcognac

ต่อมาผู้ดื่มคารวะแก่โป ก็ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า "คบเพลิงจะถูกส่งต่อ" ทำให้เชื่อว่าผู้ดื่มคารวะแก่โปกำลังจะเสียชีวิต จนในปี 1999 ก็มีโน้ตวางไว้ยืนยันว่าผู้ดื่มคารวะโปคนเก่าเสียชีวิตแล้ว และมีผู้ดื่มคารวะโปคนต่อไปมาสืบทอด

ไม่ว่าชายคนนั้นจะ เป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เขาจะต้องเป็นแฟนหนังสือตัวยงของโปแน่นอน มีผู้ที่สนใจเรื่องนี้พยายามเข้ามาสืบว่าตัวจริงของผู้ดื่มคารวะโปคือใคร หลายคนพยายามจะจับตาดูและพยายามดักจับ หากแต่พวกแฟนของโปและผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนั้นถูกเปิดเผยและ พยายามใช้มาตรการป้องกันคนไปรบกวนผู้มาเคาระศพยามวิกาลและปฏิเสธคำให้ สัมภาษณ์เกี่ยวกับชายคนนั้นทั้งหมด ทั้งให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนั้นคือใครกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณเพราะเคยเห็นเขาลอยละล่องกลางอากาศมาแล้ว หรืออาจเป็นผีของโปเอง หรือจะเป็นฝีมือของคนขี้แกล้ง หรือจะเป็นคนที่ชื่อ "เรย์โนลด์" ที่โปเพ้อก่อนตายกันแน่??



อันดับ 8 Babushka Lady
 Blmuchmore-1
ระหว่างที่มีการวิเคราะห์วีดีโอ เหตุการณ์ลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนนาดี ในปี 1963 ก็เกิดเรื่องน่าสนใจและเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อมีภาพหนึ่งจับภาพฝูงคนที่อยู่ใกล้ๆ รถที่เคนนาดี้โดนยิง มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอสีน้ำตาลชมพูอยู่บนหัวของ เธอ(ผ้าพันคอกลายเป็นสาเหตุเรียกชื่อเธอ ซึ่งการการใช้ผ้าคลุมคลุมที่หัวจะเหมือนการแต่งกายของหญิงรัสเซีย grandmothers เรียก ว่า babushkas) ซึ่งลักษณะท่าทางของเธอเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังจับกล้อง(หรือวีดีโอ)บันทึกภาพ เหตุการณ์ที่จอห์น เอฟ เคนนาดี้โดนยิงที่หัวแบบจะๆ และคาดว่าภาพที่เธอจับนั้นจะเป็นภาพวินาทีสังหารเคนนาที่ชัดมากกว่าของใคร ทั้งหมด แต่แล้วเธอก็หายตัวไปอย่างลึกลับท่ามกลางฝูงชนที่หนีออกจากสถานที่เกิดเหตุ มีพยายบอกว่าเธอหนีไปทางตะวันออก พวกผู้เกี่ยวข้องและ FBI พยายามสืบและตามหาตัวเธอเพื่อขอหลักฐานนี้มาประกอบคดี หากจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบตัวเธอเลย และหลักฐานที่เธอได้นั้นไม่รู้ว่าจะสำคัญพอที่จะพลิกคดีจนเขย่าโลกได้หรือ ไม่?



ทำไมหญิงคนนี้ถึงไม่ปรากฏตัว? ทำไมเธอถึงไม่มอบหลักฐานนี้ให้ทางการ? มีข้อสันนิษฐานว่าเธออาจถูกเก็บโดยผู้สมคบคิดเพราะเธอมีหลักฐานพลิกโลก ในปี 1970 มีคนอ้างว่าเป็นเลดี้ Babushka ที่ชื่อ Lolita Davidovich หากแต่ต่อมาเธอก็รับสารภาพว่าโกหก จนบัดนี้ปริศนานี้ก็ไม่ได้ไขแต่อย่างใด


อันดับ 7 Kaspar Hauser
 Hauser
คาส ปาร์ เฮาเซ็นต์(เกิด 30 เมษายน 1812 (?) - ตาย 17 ธันวาคม  (อายุ 21 ?)) เด็กหนุ่มผู้มีชาติ กำเนิดเป็นปริศนาและตายลงอย่างลึกลับ เรื่องของเขาเป็นปริศนาพิศวงที่เป็นตำนานเล่าขานของเยอรมันมานาน

                เรื่องของเรื่องเช้าวันหนึ่งในเดือน พฤษภาคม 1828 ได้มี เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีปรากฏตัวกลางเมืองเข้า เด็กหนุ่มผู้นี้มีท่าทางงุนงง ตื่นตระหนกและแต่งตัวบอนๆ เดินเข้าไปในนูเร็มเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ใครถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แต่ในมือเขามีจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชากองร้อยที่ 4 แห่งกองพันทหารม้าที่ 6 จดหมายมี 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 เขียนไว้ว่า

                "กระผมส่งเด็กผู้ปรารถนาจะรับใช้ชาติการเป็นทหารมาให้ท่าน เขาถูกทิ้งที่บ้านผมตั้งแต่ยังเป็นทารก กระผมมีลูกของตัวเองที่ต้องเลียงดูถึง 10 คน และไม่อาจดูแลเขาได้อีกต่อไป หากท่านไม่ต้องการเขาก็ฆ่าหรือแขวนคอเขาก็แล้วกัน"

                จดหมายอีกฉบับลงในปี 1812 คนเขียนอาจเป็นมารดา แท้ๆ ของเด็กหนุ่มผู้นั้น เขียนไว้ว่า

                "ดูแลลูกดิฉันด้วย พ่อของเขาอยู่กองพันทหารม้าที่ 6"

แต่ ถึงอย่างไรผู้บังคับการกองร้อยที่ 4 ที่เป็นผู้รับจดหมายกับไม่เชื่อถืออะไรกับจดหมายนั้น จึงส่งเด็กหนุ่มไปให้ตำรวจและถูกจับส่งเข้าคุกในฐานะคนจรจัด ในระหว่างเขาถูกคุมขัง ผู้คุมสังเกตว่าเขาสามารถอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานๆ ชอบอยู่ในที่มืดๆ และเคลื่อนไหวในความมืดได้ดี เขารักในการเล่นม้าไม้ ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ขนมปังและน้ำ เมื่อส่งกระดาษให้เขาจะเขียนคำว่า "ทหารม้า" กับ "คาส ปาร์ เฮาเซอร์" ซึ่งสันนิษฐานว่านี้คงเป็นชื่อและนามสกุลเขา กิริยาคล้ายเด็กหัดเดิน และมองสิ่งรอบตัวก็เหมือนเป็นของแปลกใหม่ทุกอย่าง ผู้คุมชอบจึงสอนให้เขาฝึกพูด และเขียน

                ภายใน 6 สัปดาห์ออกมาเขาก็สามารถ เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ได้ เขาเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็ถูกขังในที่ห้องมืดๆ ทั้งวัน มีแต่ม้าไม้และหุ่นไม้เป็นของเล่น และไม่เคยเห็นใครหรือได้ยินใครกับใครมาก่อนเลย เมื่อเขาตื่นมาก็มีขนมปังกับน้ำมาวางไว้ให้ บางครั้งน้ำก็มีรสเฝื่อนๆ และบางครั้งเมื่อเขาหลับและตื่นขึ้นมาก็พบว่าผมเผ้าและเล็บก็ถูกเล็มเรียบ ร้อย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้ติดต่อคนอื่น เมื่อมีมือยื่นออกมาห้องขังพร้อมกระดาษและปากกาและสอนให้เขาเขียนสองคำคือ ทหารม้าและ คาสปาร์ เฮาเซอร์ และต่อมาก็พบว่าตัวเองกะโผลกกระเผลกอยู่ในเมืองนูเร็มเบิร์ก

                และแล้วเรื่องเล่าของคาร์ปาร์ก็ก่อให้ เกิดความฮือฮาขนานใหญ่ในหมู่ชาวเมืองนูเร็มเบิร์ก มีการประกาศหาเบาะแสของเขาอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อมูลอะไรได้เลย มีแต่ข่าวลือบางก็ว่าคาสปาร์เป็นลูกของซาตานบ้าง มาจากต่างดาวบ้าง บ้างก็เชื่อว่าเขาอาจมีเชื้อพระวงค์

                และแล้วก็เกิดเหตุลึกลับขึ้นเมื่อเคา สปาร์ถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง เขาได้ไปอยู่กับกับศาสตราจารย์ จอร์จ ดอร์เมอร์ เขาพยายามสอนให้เขามีความรู้กว้างขวาง

                แต่ แล้ววันวันหนึ่งเรื่องลึกลับก็เกิดเมื่อดอร์เมอร์กลับมาบ้านมา พบว่าคาสปาร์นอนจมกองเลือดอยู่ที่ห้องใต้ทุนบ้าน โดยมีบาดแผลที่หน้าและลำคอ แต่ไม่ถึงตาย เมื่อคาร์ปาร์ได้สติเขาเล่าว่าถูกชายสวมหน้ากากคนหนึ่งเข้ามาในบ้านและทำ ร้ายเขา จนข่าวลือนี้แพร่สะพัดจนชาวบ้านลือว่าพระญาติที่ขึ้นครองบัลลังก์บาเดนอาจ จ้างนักฆ่ามาเพื่อกำจัดรัชทายาทที่แท้จริง

                แต่ กระนั้นยังมีหลายคนคิดว่าคาสปาร์เป็นจอมโกหก เขาอาจสร้างเรื่องที่ถูกทำร้ายเพื่อเรียกร้องความสนใจ

                ต่อ มา ลอร์คสแตนโฮปเกิดรู้สึกสนใจเรื่องราวของเด็กหนุ่มนี้ขึ้นมา และขอรับเป็นผู้ดูแลคาสปาร์ เขาพาคาสปาร์เดินทางตามราชสำนักเล็กๆ ในยุโรป ทั้งยังพยายามพิสูจน์ว่าคาสปาร์เป็นลูกของผู้ดี แต่ความพยายามของเขากลับล้มเหลว และเขาก็เริ่มหมดความสนใจต่อตัวคาสปาร์แล้ว จึงทิ้งเด็กนี้ไว้ให้กับ โจฮันน์ เมเยอร์ ครูสอนศาสนาใจแคบ ที่เมืองอังสบาคใกล้ๆ นูเร็มเบิร์กเป็นผู้ดูแล โดยในขณะนั้นคาลปาร์อายุ 21 ปีแล้ว และเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกหัดเข้าปกหนังสือ

เย็นวันที่ 14 ธันวาคม 1833 คาสปาร์วิ่งพรวดพราดกลับ บ้านของเมเยอร์โดยมีบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกด้านซ้าย เขาบอกว่าถูกชายคนหนึ่งแทงขณะที่เขากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา หาว่าเขากุเรื่องขึ้นและทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนครั้งที่ แล้ว ซึ่งกว่าเมเยอร์จะเชื่อและเรียกหมอก็สายเกินไปแล้ว เพราะ อีกสามวันต่อมาคาสปาร์ก็ได้ชีวิตลงเพราะถูกแทงที่ท้อง เขานอนตายที่สวนสาธารณะ

                ใน ที่เกิดเหตุนั้น ตำรวจพบกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ภายในมีกระดาษเขียนข้อความด้วยตัวอักษรกลับด้านที่ต้องใช้กระจกส่องอ่าน มันเขียนไว้ว่า

                "คาสปาร์จะบอกให้ว่าผมคือใคร ผมอยู่ที่หมู่บ้าน....................... ชายแดนบาวาเรีย ผมชื่อ MLO"

                และผลสุดท้ายตำรวจไม่ทราบคนที่เข้ามาแทง คาสปาร์ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน คดีนี้จึงไขปริศนาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

                ส่วน ศพของตาร์ปาสเขาถูกฝังที่สุสานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อังสปาคพร้อมปริศนาอีกมากมายในตัวเขาที่ไขไม่ออกจนถึงทุกวันนี้

                เรื่องราวของคาสปาร์ยังคงเป็นปริศนาที่ถกถียงกันอย่างไม่สิ้นสุด เป็นเวลานาน จนถึงปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และหลักฐานในประวัติศาสตร์มาแก้ไขใน ปริศนา แต่หลายฝ่ายไม่ยอมรับ เพราะมันส่งผลทำให้ปริศนาที่จุดประกายของจินตนาการถูกทำลาย และส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวของคาสปาร์ได้ ซึ่งหลังจากนั้นมาก็ไม่มีการพิสูจน์ใดๆ เกี่ยวกับชาติกำเนิดของคาสปาร์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ มงกุราชกุมารแห่งบาเดนหรือเด็กช่างโกหกเพ้อเจ้อธรรมดาๆ....................



อันดับ 6 Fulcanelli
          Hendaye04
Fulcanelli (1839-1953??) เป็นนามแฝงของนักเล่นแร่แปรธาตุชาวฝรั่งเศสผู้ลึกลับ ในศวรรษที่ 19 ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเขา แต่ผลงานของเขานั้นล้วนแต่สร้างความน่าอัศจรรย์ใจต่อผู้พบเห็น โดยเฉพาะผลงานที่เขาอ้างว่าเขาสามารถแปรธาตุ(ตะกั่ว 100 กรัม )กลายเป็นทองคำได้โดยใช้ “ผงสูตรวิเศษลับ” ของเขาโปรยให้เป็นทองต่อหน้า  Julien Champagne และ Gaston Sauvage

อีกหนึ่งผลงานที่น่าพิศวงไม่แพ้กันคือ คือเขาได้อธิบายหลักการเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งตอนนั้น  Fulcanelli ได้พบนักฟิสิกส์ปรมาณูชาวฝรั่งเศส เขาได้ให้รายละเอียดที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิวเคลียร์ อีกทั้งเขายังอธิบายเสริมว่าอีกไม่นานมนุษย์จะสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่น นี้ได้

สิ่งที่รู้เกี่ยวกับนักแปรธาตุคน นี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย สิ่งที่พอรู้ประวัติเขาคือจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น และในปี 1953 เขาเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนกันแน่ บ้างบอกว่าเขาไปสเปนไปยังปราสาทสูงๆ เพื่อนัดพบนายเก่าของเขา หรือเขาอาจยังมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 114 ปี หรืออาจเป็นอมตะเลยก็เป็นได้



อันดับ 5 D. B. Cooper
          Ap Cooper 080325 Ms
ดี บี คูเปอร์ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเหล้าที่ไหน แต่เป็นนามแฝงสลัดอากาศเครื่องบินผู้โด่งดัง(FBI เรียกเขา ว่า Norjak)เรื่องเกิดขึ้นในสมัยสายการบินที่ไม่มี การจับเอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสาร และไม่มีการทำประวัติผู้โดยสาร

เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1971 ที่เครื่องบินโบอิ้ง 727 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสลัดอากาศคนหนึ่งเลยตนเองว่า ดี บี คูเปอร์ ได้ยึดเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกันบนลานบิน เขาเรียกร้องเงิน 200,000 ดอลลาร์พร้อมกับร่มชูชีพ เขาได้ไปทั้งสองอย่างที่ต้องการ และเขาได้สั่งนักบินนำเครื่องบินขึ้นกว่าที่นักบินจะนำเครื่องบินลงจอด ชายคนนั้นก็หายกลีบเมฆไปเสียแล้ว โดยเขาโดดร่มสู่ท้องฟ้าครึ้มพายุที่ความสูง 10,000 ฟุต หายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบภาคกลางด้านตะวันตกของสหรัฐอย่างลอยนวล

แม้การปฏิบัติการที่บ้าบิ่นจะทำ ให้โจรรายนี้หายสาบสูญไป แต่ผู้คนก็ยังคงติตตาม ดี บี คูเปอร์ ที่คาดว่าเขาและเงินค่าไถ่ยังคงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา 9 ปี เด็กอายุแปดปีพบ เงิน 5,800 เหรียญ ในสภาพฝังอยู่ในสันทรายกลางแม่น้ำโคลัมเบียซึ่งจากหมายเลขธนบัตรและระบุตรง กับเงินค่าไถ่ของสลัดอากาศไม่มีผิดและล่าสุดในปี 2008 มีการพบร่มชูชีพที่ดี บี คูเปอร์ใช้ในเมืองเอ็บเบอร์ แต่ตัวสลัดอากาศดี บี คูเปอร์นั้นจนบัดนี้ยังไม่พบตัว มีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าบางทีเขาอาจจะตายจากเหตุการณ์กระโดดร่มไปแล้วก็ได้ หรือบางทีเขาอาจเคยเป็นทหารที่มีประสบการณ์โดดร่ม แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขา หน้าที่แท้จริง  ไม่ มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตที่สุขสบายไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้

เรื่องราวของดี บี คูเปอร์ส่งผลให้สายการบินจัดระเบียบใหม่ และเริ่มมีการใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสารในที่สุด



อันดับ 4 Comte St Germain
 Stgermain
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เป็นที่ปรึกษาข้อราชการของกษัตริย์หลายพระองค์ในฝรั่งเศส เป็นชายหนุ่มที่เจนจัดสังคม และมีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้ยังเป็นคนฉลาดที่หาตัวจับยากอีกด้วย เนื่องจากเขามีความรู้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักประดิษฐ์, นักวิทยาศาสตร์, นักเล่นไวโอลิน, นักแต่งเพลง. นักการเมือง จนถึงขนามนามว่า “Wonderman”  แต่ทว่าเรื่องราวประวัติของเคาท์ เซนต์ เกอร์แมนนั้นยังคงเป็นปริศนาดำมืด และน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า เขาเกิดที่ไหน เมื่อไร หรือตายเมื่อใด บางคนบอกว่าเขาคือทายาทที่แท้จริงในการสืบทอดราชบัลลังก์ของอังกฤษ, บุตรของกษัตริย์โปตุเกส, หรือลูกนอกสมรสของคนในราชวงค์พระองค์หนึ่ง

 เคาท์ เซนต์ เกอร์แมนเริ่มปรากฏตัวในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 23 โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศส และยังเป้นที่ไม่ไว้วางใจของบรรดาราชบริพารในสมัยนั้น เนื่องจากเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหลุยส์อย่างมาก ในเวลาต่อมาเขาโดนจับขังคุกด้วยเรื่องการเมือง และหนีไปอังกฤษ และเสียชีวิตลงเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1784



อันดับ 3 Feodor Kuzmich
 
ความจริงอันดับนี้เป็นของชายสวม หน้ากากเหล็กครับ แต่ว่าผมเขียนไปแล้ว ดังนั้นจึงเอาของใหม่มาแทน เป็นเรื่องลึกลับที่แปลกๆ เกิดขึ้นในรัสเซียครับ

                ฟี เดอร์ คุซมิช(??- ตาย 1 กุมภาพันธ์ 1864 ในเมืองทอมสค์)  เป็นชื่อของฤาษีลึกลับ ไร้ที่มาที่ไปอาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกของรัสเซีย

                เรื่อง มันเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าซาร์ อเล็กซาร์เดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซียสิ้นพระชนม์ลง ขณะนั้นพระองค์มีพระชนม์มายุเพียง 47 ปี(พระศพได้ ประกอบพิธีเพลิงพระศพ วันที่ 13 มีนาคม 1826 ในวิหาร ปีเตอร์-พอล (Peter and Pual Cathedral) ในนครเซ็นปีเตอร์เบิร์ก) และต่อมาก็เกิดข่าวลือประหลาดๆ ว่า แท้ที่จริงแล้วพระองค์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซ้ำยังมีข่าวลือว่าพระองค์ทรงสละราชสมบัติเพื่อช่วยชีวิตฤาษีตนหนึ่ง ในเมืองทอมสค์ ซึ่งประชาชนที่นั้นเรียกฤาษีตนนั้นว่าฟีเดอร์ คุซมิช

                ไม่ รู้ว่าทำไมพระเจ้าซาร์อเล็กซาร์เดอร์ที่ 1 ถึงให้ความสนใจฤาษีฟีเดอร์ คุซมิช เขาเป็นบุคคลพิเศษของพระองค์มากกระนั้นหรือ?? ที่จริงหลายคนแทบไม่เคย เห็นเขามากนัก และเขาปรากฏตัวตอนที่พระเจ้าซาร์อเล็กซาร์เดอร์ที่ 1 เสียชีวิต ทำให้หลายคนมีความเชื่อว่าฤาษีตนนี้คืออดีตพระเจ้าซาร์นั้นเองสาเหตุเนื่อง จากอยากหนีเรื่องวุ่นวายจากราชบัลลังก์ที่มีแต่การแก่งแย่งและลอบสังหาร และในเวลาต่อมาหลังจากที่ฤาษีฟีเดอร์ คุซมิชเสียชีวิตในปี 1864 เขาได้ทิ้งท้ายประโยคว่า “พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า ข้ามีชื่ออันแท้จริงว่าอย่างไร”

                ต่อ มาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ก็ขึ้นครองราชย์ต่อจาก พระเจ้าซาร์อเล็กซาร์เดอร์ที่ 1 พระองค์พยายามยุติข่าวลือเรื่องนี้ แต่ในปี 1865 พระองค์สั่งให้เจ้าหน้าที่ขุดพระศพเสด็จพ่อของพระองค์ขึ้นมา แต่ปรากฏว่าในโลงกับว่างเปล่า และเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบโลงก็พบว่ามันวางเปล่าตั้งแต่แรกแล้ว สรุปว่าศพของพระเจ้าซาร์อเล็กซาร์เดอร์ที่ 1อยู่ที่ไหนจนบัดนี้ก็ยังไม่มีคำตอบของปริศนานี้แต่อย่างใด

                หรือว่าฤาษีฟีเดอร์ คุซมิชก็คือพระเจ้าซาร์อเล็กซาร์เดอร์ที่ 1กันแน่น่ะ??



อันดับ 2 Gil Perez
          Mena 2
Gil Perez เป็นชื่อของทหาร สเปนลึกลับที่จู่ๆ เขาก็ไปปรากฏตัวที่เมืองเม็กซิโก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1593 เขาแต่งเครื่องแบบแปลกๆ เขาได้อ้างว่าเขาถูกพลังลึกลับอย่างหนึ่งพัดพาเขามายังประเทศนี้

                เรื่องนี้เป็นเล่าเก่าแก่ ที่มีมานานกว่าสี่ศตวรรษ เล่าว่า ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1593 ทหารหนุ่มรายหนึ่งพลัดจากประเทศฟิลิปปินส์แล้วไปหลงอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ (ระยะทางกว่า 15,000 กม.) ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่นั้นดูประหลาดสำหรับชาวเมืองมาก เขาถูกสอบสวนเขาบอกว่าก่อนที่จะโผล่มาที่นี้เขายืนรักษาการณ์อยู่ที่ทำ ทำการราชการจังหวัดในกรุงมนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์  ส่วน เขาก็หลงมาที่เม็กซิโกได้ยังไงก็ไม่ทราบ โดยเขาอ้างหลักฐานตนเองว่าที่ฟิลิปปินส์ผู้ว่าที่เขาประจำที่นั้นถูกลอบ สังหาร หลายเดือนต่อมามีเรือจากฟิลิปปินส์ ได้ยินยันว่าข่าวลอบสังหารผู้ว่าเป็นเรื่องจริง และตรงกับรายละเอียดของทหารคนนั้นเล่าทุกประการ อีกทั้งผู้โดยสารเรือบางคนก็อ้างว่ารู้จักกับ Gil Perez และสาบานได้ว่าเห็นเขาอยู่ในฟิลปปินส์เมื่อวันที่ 23

                สุดท้าย Gil Perez ก็ได้กลับฟิลิปปินส์และชีวิตหลังจากนั้นของเขาก็หายไป ไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาอีกเลยจัดกระทั้งบัดนี้ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์ลึกลับนี้ซึ่งสมมุติฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเทเลพอเทชั่น (Teleportation)พลังลึกลับชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายสสาร วัตถุ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตไปมาระหว่างสองจุดโดยไม่ต้องผ่านระยะทางตรงหว่างกลาง ทั้งยังบังคับได้จากระยะไกล

เรื่องนี้ต่อมาได้รับอิทธิพลให้ นักเขียนแนวลึกลับนาม เอ็ม. เค. เจสอัพ เอาไปเขียนในเวลาต่อมา


อันดับ 1 Green Children of Woolpit
Greenkidz
เด็ก เขียวแห่งหมู่บ้านบานโฮ เซ(Woolpit) เป็นเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับมิติลึกลับ ที่เห็นกันอย่างจะๆ แต่ก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เห็นตรงหน้าได้ ว่ามันคืออะไรกันแน่??

 บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกัน เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัว ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลก และกระท่อนกระแท่น ไม่ใช้ภาษาสเปน และภาษาใดในโลก กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

และที่ประหลาดที่สุดก็คือผิวกายของเด็กทั้งคู่ไม่เหมือนคนธรรมดา ทั่วไป กล่าวคือเป็นสีเขียวขจี เมื่อพิจารณาดูลักษณะของตาเหมือนคนเอเชียมาก นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก

พวกชาวนาที่เกี่ยวข้าวกำลังพักผ่อนรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ เมื่อเด็กประหลาดคู่นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ปากถ้ำบนเชิงเขา ทั้งสองมีอาการเงอะงะร้องไห้โฮออกมาอย่างเปิดเผย และที่ประหลาดมากก็คือทั้งสองคนมีผิวกายสีเขียวเข้ม

ด้วย ความไม่เชื่อ คนทำงานพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้าน

ทั้ง สองคนถูกนำตัวไปที่บ้านของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน

ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนตนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย

เด็ก คนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก

เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย ไม่ทราบว่าอาหารอะไรจึงจะเป็นที่พึงใจเขาทั้งสอง จนในที่สุดเด็กชายก็เสียชีวิตจากไปเพราะร่างกายอ่อนแอ หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆจางลง และเป็นคนแปลกประหลาดของหมู่บ้านน้อยลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น

เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ "มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก" เธอบอก

ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า "มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว"

นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง เด็กผู้หญิงมีชีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก็ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ

นี้ เป็นเรื่องจริงปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต หรือเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันแน่??





เนื้อหาจาก http://listverse.com/2008/05/03/top-10-mysterious-people/

เพิ่มข้อมูลจากวีพี มีเดีย(อังกฤษ)

บทความ 10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก

 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
10 เพชรโฮป (Hope Diamond) เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 160 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป! และก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้ จากนายทราวิเนียร์ พระองค์ และพระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจ จากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคล จนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวราโปรตุเกส วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย! ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่นในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์ ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มด และ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบท แม็คเบ็ธ ผลของคําสาปอุบัติขึ้น ตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์ สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่า เ ขาขมังในเรื่องเวทมนตร์ และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า "ปล่องไฟปีศาจ" และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย "ปล่องไฟปีศาจ" ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์ สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคน และสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์ ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้
 
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน อียิปต์ เรื่องนี้เราคงเคยได้ฟังกันมาแล้ว จึงขอผ่าน สรุปสั้นๆแค่ว่า ทั้ง โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์องค์ นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย อันควรทั้งนั้น
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London) ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขัง และประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ! เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน
 
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
 
อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่า ตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น นอกจากนี้ การฝาก หรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
อันดับ 2 คําสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813 ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น • ลิน-คอล์น (1860) • การ์ฟิลด์ (1880) • แม็คคินลีย์ (1900) • ฮาร์ดิ้ง (1920) • รูสเวลท์ (1940) • เคนเนดี้ (1960)
 
10 อันดับตำนานคำสาปสะพรึงโลก
อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden) นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่งความรู้ หรือแอปเปิ้ล แต่งูตัวแสบซิครับ มันยุยงอีฟให้หมํ่าแอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่อง

2554-05-23

Korea Drama : The Fugitive Plan B 2010

a879843651325

อันยองคร๊าฟฟ ทุกคน

วันนี้มีซีรีย์ดีที่จะมานำเสนอกันอีกเช่นเคย 
"The Fugitive Plan B" เชื่อว่าหลายคนได้ดูซีรีย์เรื่องนี้ไปแล้ว แต่ก็อยากนำเสนอสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู บอกได้คำเดียวว่าสนุกมาก ถืือเป็นซีรีย์เด่นประจำปีีกันเลยก็ว่าได้ เรื่องนี้ยังขนเอาเหล่านักแสดงเรื่อง Chuno/The Slave Hunters มากว่าครึ่ง
มาร่วมด้วย ทำใ้ห้เรื่องนี้เป็นแอคชั่นดราม่าได้อย่างลงตัวจริง ๆ 

ในเรื่องนี้เราจะได้กลับมาดูผลงานของหนุ่มเรนอีกครั้งในบทบาทของนักสืบชื่อดัง ลีลาจอมกวนในบท "จีวู" หลายปีก่อน จีวู เคยสืบสวนคดีของชาวเอเชียสองคนที่เสียชีวิตที่คาสิโนในลาสเวกัส และเขาสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เหตุการณ์นั้นเองเป็นผลให้ จีวู ได้รับเงินรางวัลและก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสุดยอดนักสืบของหน่วยงาน และหลังจากนั้นไม่นาน "เควิน" เพื่อนสนิทของเขาก็มาเสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้ผับที่เกาหลี จีวูสงสัยเกี่ยวกับการตายของเควิน เพราะเขาไปทำธุระที่จีนแต่ทำไมเขาตรงไปที่เกาหลีและตายที่นั่น 

ต่อมา จีวู ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง คือ จินี่ เธอต้องการให้จีวูช่วยหาคนที่ใช้ชื่อว่า Melchidec ให้ได้ เพราะเชื่อว่า Melchidec คือคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของครอบครัวเธอ และได้แก้แค้นจีวูที่เขาด่วนสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายทั้งที่จริงแล้วมันเป็นการฆาตกรรมชัด ๆ 

ในระหว่างที่จีวู พยายามตามหา Melchidec อยู่นั้น หัวหน้าหน่วยสากล ทีม 3 โตซู ตำรวจมือดี ที่ปักใจเชื่อว่าจีวูมีส่วนรู้เห็นกับการตายของเควิน หรือไม่ก็เป็นการฆ่าเพราะหักหลังกันเองหลังจากที่ได้เงินก้อนโตไป โตซูพยายามตามจับจึวูแต่ไม่สำเร็จ จนเขาพลาดท่าโดนจีวูยิงใส่ แต่เขาก็รอดมาได้และไล่ล่าตามจับจีวูให้ได้ ในขณะเดียวกัน Melchidec ที่รู้ความเคลื่อนไหวของจินี่และจีวูก็สั่งเก็บคนทั้งสอง คราวนี้จีวูที่อยู่ใกล้ ๆ จินี่ ก็โดนหมายหัวไปด้วยทำให้ทั้งสองต้องหนีตายด้วยกันหลายครั้ง 

จินี่หนีการไล่ล่าเอาชีวิตไปหา "ไค" คนรักของเธอที่ญี่ปุ่นแต่จีวูก็ตามไปด้วย เพราะเขารู้แล้วว่าคนที่สั่งฆ่าเขาและจินี่อยู่ที่ญี่ปุ่น และต่อมาเขาก็ได้รู้ว่าไคเป็นคนของ Melchidec จีวูพยายามบอก จินี่ แต่เธอไม่เชื่อ ไคสร้างหลักฐานปลอมและบอกจินนี่ว่า แท้จริงแล้วจีวู คือ Melchidec คนที่สั่งฆ่าครอบครััวเธอ และที่เขาเข้ามาพัวพันชีวิตของเธอนั่นคือแผนของเขา 

จีวูพยายามคัดค้านและบอกจินี่ว่าเขาโดนใส่ร้าย และทำให้จีนี่รู้ว่าแท้จริงแล้วไคทำงานให้กับ "หยางดูฮี" ผู้ซึ่งเป็น Melchidec ตัวจริง จินี่เสียมากที่รู้ว่าไคหักหลังและยังร่วมมือกับคนที่สั่งฆ่าครอบครัวรวมทั้งเธออีก หยางดูฮีเลยกำจัดทั้งไคและจินี่ พร้อมกับจีวูที่เข้ามาช่วยจินี่แต่โดนจับตัวไว้ได้

จินี่และจีวูตกมาอยู่ในมือของ "ฮวางมีจิน" สมุนมือขวาของหยางดูฮี เธอได้รับคำสั่่งให้กำจัดคนทั้งสองแต่สุดท้ายแล้วเป็นเพราะโตซูที่ติดตามจีวูมาเข้ามาขัดจังหวะ ทำให้จีวูและจินี่หนีรอดไปได้อีกครั้ง

แต่เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศของจีวูปรากฏว่า "นากามูระ" นักสืืบรุ่นพี่ ได้โอนย้ายขอมูลของเขาไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังมีไฟล์ลับอยู่และได้มาวิเคราะห์กับจินี่ว่าอะไรเป็นสาเหตุของการตามล่าในครั้งนี้ และรู้ว่าเป็นเพราะ ธนบัตรโชซอนใบหนึ่งที่ปู่ของเธอกำไว้แน่นตอนที่เสียชีวิต และนั่นทำให้ทั้งสองรู้ว่าธนบัตรใบนั้นเป็นตัวบอกตำแหน่งที่ซ่อนทองคำ ขณะเดียวกันนากามูระก็นำขอมูลดังกล่าวไปเสนอกับฮวางมีจิน เพราะเรียกร้องผลตอบแทนก้อนโตจากข้อมูลดังกล่าว 

ด้วยความฉลาดและแพรวพราวของนากามูระทำให้ฮวางมีจินเจอทองที่ซ่อนไว้ก่อน จินี่และจีวู หัวหน้าโตซูได้นำกำลังติดตามไปและจับกุมไว้ได้หมด พร้อมของกลาง แต่เพราะจินี่ขวางไว้ทำให้จีวูหนีไปได้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีมือปืนที่ตามเก็บฮวางมีจินต่อหน้าต่อตาหัวหน้าโตซู ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเป็นฝีมือของจีวูหรือไม่ ...

และ้ด้วยอำนาจบารมีของหยางดูฮีทำให้คนที่ถูกจับทั้งหมดถูกปล่อยตัวในเช้าวันต่อมาและที่สำคัญทองคำของกลางก็หายไปด้วย และคนที่รับผิดชอบก็คือหัวหน้าโตซู
เขาเริ่มท้อแท้กับการเป็นตำรวจมากขึ้น เขาไม่สามารถสู้กับอำนาจที่อยู่เหนือเขาได้ เขาติดตามหาทองจนพบแล้วจับหยางดูฮีกลับมา แต่หัวหน้าเขาก็ปล่อยตัวคนร้ายไปอีก เขาจึงตัดสินใจเลิกเป็นตำรวจและหอบทองคำหนีไปฟิลิปปินส์ 

แต่แล้วจีวูและจินี่ก็สามารถเอาทองคำกลับมาได้อย่างง่ายดาย ด้วยความช่วยเหลือจากโซฟี ผู้ช่วยของไคนั้นเอง

จินี่ติดต่อ หยางดูฮี เพื่อให้เขาหยุดทุกอย่าง แต่เขาไม่หยุดและบอกกับเธอว่า ปู่ของเธอก็ร่วมยักยอกทองคำนี้ด้วย จินี่เสียใจมากแต่เธอก็เปลี่ยนแผนมาต่อรองกับ "หยางยองจุน" ลูกชายของหยางดูฮีที่กำลังสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไคพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะเปิดเผยความผิดของผู้เป็นพ่อ แต่เขากลับคิดว่าเป็นการใส่ร้ายกันทางการเมือง และเมื่อจินี่เอาหลักฐานมาให้เขาดู นั้นคือทองคำแท่ง ทำให้เขาเชื่อแต่เขาไม่ยอมละทิ้งอำนาจที่เขากำลังจะได้มา เขาสั่งเก็บคนที่รู้เห็นเรื่องนี้ทั้งหมด

ทองคำที่จินี่ซ่อนไว้หลังรถกลับถูกนากามูระเอาไป ทำให้จินี่แลจีวูไม่มีหลักฐานเพื่อเอาผิดกับหยางดูฮีและหยางยองจุนพ่อลูก เธอจึงคิดจะไปเปิดโปงเขาด้วยคลิปเสียงที่เธอและหยางยองจุนคุยกัน แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะเธอไม่มีหลักฐาน แต่แล้วจีวูก็เข้ามาช่วยเธอไว้ พร้อมบอกรักเธอตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน และโชว์หลักฐานนั่นคือทองคำแท่งนั่นเอง ทำให้หยางดูฮีโดนและพวกโดนจับในที่สุดและหยางยองจุนก็พ้นจากตำแหน่งเพราะเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเขามีส่วนรู้เห็นและปกปิดเรื่องดังกล่าวไว้

เรื่องราวมันหยดขนาดนี้ใครที่ยังไม่ได้ชม ก็อย่าพลาดแล้วกัน 555..